สรุปงานวิจัย
เรื่อง ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการทดลองหลังการฟังนิทาน
Science basic skill of young children engaged in experimental activity after story listening
ผู้วิจัย ศศิพรรณ สำแดงเดช (พฤษภาคม 2553
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ)
ความมุ่งหมายของการวิจัย
เพื่อเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการทดลองหลังการฟังนิทานก่อนและหลังการทดลอง
กลุ่มตัวอย่างในการใช้วิจัย
เด็กปฐมวัย ชาย-หญิง อายุ 5-6 ปี
ศึกษาอยู่ชั้นอนุบาล2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา2552 โรงเรียนวัดไทร(ถาวรพรหมานุกูล) สำนักงานจอมทอง กรุงเทพมหานคร
เครื่องมือในการทำวิจัย
1.แผนการจัดกิจกรรมการทดลองหลังฟังนิทาน
2.แบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์
มีความเชื่อมั่น .66
นิยามศัพท์
ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง
ความสามารถเบื้องต้นที่เป็นพื้นฐานทักษะทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการประเมินทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์โดยใช้แบบประเมินที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
3 ด้านคือ
การสังเกต หมายถึง
ความสามารถในการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง5 เข้าไปสัมผัสโดยตรงกับวัตถุสิ่งแวดล้อม
สามารถตอบข้อมูลหรือรายละเอียดของสิ่งต่างๆได้
อธิบายว่าสิ่งที่สังเกตได้เป็นอย่างไร บอกความเหมือนความต่างว่าสิ่งที่สังเกตได้เป็นอย่างไร
การจำแนก หมายถึง
ความสามารถในการเปรียบเทียบและบอกข้อแตกต่างของคุณสมบัติ โดยมีเกณฑ์ในการจัดแบ่ง
มี 3 ประการ คือ ความเหมือน ความแตกต่างและความสัมพันธ์
การสื่อสาร หมายถึง ความสามารถในการนำข้อมูลที่ได้จากการสังเกต การทดลองหรือจากแหล่งอื่นที่มีข้อมูลอยู่แล้วมาจัดทำใหม่โดยอาศัยวิธีการต่างๆ
คือ การสังเกต การวัด การทดลอง และจากแหล่งอื่นๆ มาจัดกระทำเสียใหม่
โดยมุ่งสื่อให้ผู้อื่นเข้าใจความหมายดีขึ้น
การดำเนินกิจกรรม
ครูจะเล่านิทานให้เด็กๆฟัง
เมื่อฟังนิทานจบ ครูก็ให้เด็กได้ทำกิจกรรมการทดลองที่เกี่ยวกับนิทานที่ฟังที่มีความสัมพันธ์กับเนื้อเรื่องที่ส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์
โดยการทดลองเด็กจะเป็นผู้ลงมือกระทำด้วยตนเอง โดยครูจะทำเป็นตัวอย่างก่อน
ทดลองเป็นเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3
วัน คือ วันจันทร์ อังคาร พุธ วันละ 30
นาที (8.30 – 9.00)
ยกตัวอย่าง นิทานเรื่อง ครึ่งวงกลมสีแดง กิจกรรมทดลอง เรือล่ม
ครูเล่านิทานเรื่องครึ่งวงกลมเสร็จ
ให้เด็กทำกิจกรรมทดลอง
อุปกรณ์ กระดาษ ลูกแก้วหรือดินน้ำมัน อ่างใส่น้ำ
วิธีการทำ 1.
ครูสอนเด็กพับกระดาษเป็นรูปเรือ
2.นำเรือไปวางไว้บนผิวน้ำในอ่าง
3.ครูใช้คำถาม
เรือลำนี้หนักหรือเบา ลอยน้ำหรือจมน้ำ ถ้าใส่ลูกแก้วทะละลูกเรื่อยๆ
เด็กคิดว่า เรื่อลำนี้จะลอยให้จะจม
4.ให้เด็กค่อยหย่อนลูกแก้วหรือดินน้ำมันก้อนเล็กๆลงไปในเรือกระดาษที่ลอยน้ำอยู่
ทีละก้อนจนเรือจม
5.แล้วครูใช้คำถามว่า
ทำไมเรือนี้ถึงจม ถ้าคนลงเรือมาก เรือจะเป็นอย่างไร
สรุป
ผลการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้
เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการทดลองหลังการฟังนิทานมีทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สูงขึ้นกว่าก่อนการทดลองการที่เด็กได้รับการจัดกิจกรรมการทดลองหลังการฟังนิทาน
หลังการทดลองเด็กมีการพัฒนาทางด้านทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับดี
และเมื่อจำแนกความสามารถทางทักษะทางวิทยาศาสตร์ออกเป็นรายด้าน
พบว่ามีการพัฒนาในระดับดีมากคือ ด้านการสังเกต
ส่วนด้านการจำแนกและการสื่อสารอยู่ระดับดี
เช่นกันนั้นอาจจะเป็นไปได้ที่การจัดกิจกรรมมีหลักการสำคัญคือเด็กต้องลงมือปฏิบัติและคิดขณะทำกิจกรรมในการจัดกิจกรรมเล่านิทานดังกล่าว
เด็กได้ฝึกทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ไปด้วยและได้รับความสนุกสนานและไม่เครียด
เป็นผลดีต่อการพัฒนาทางสติปัญญาของเด็ก ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีทางสังคมของแบนดูรา
ที่ชี้ให้เห็นว่ากระบวนการสนใจมีผลต่อการรับรู้
ถ้าเด็กมีความสนใจจะเกิดการรับรู้ได้ดีกิจกรรมการทดลองหลังการฟังนิทาน
เป็นการทำกิจกรรมที่ต่อเนื่องจากการเล่านิทานเมื่อเด็กได้ฟังนิทานจนจบเรื่อง
เด็กจะได้ทำการทดลองในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนิทาน เช่น นิทานครึ่งวงกลมสีแดง
เด็กจะทำการทดลองเรื่อง “เรือล่ม” อุปกรณ์ที่เด็กได้รับ
คือ เรือกระดาษ ลูกแก้ว ดินน้ำมันอ่างใส่น้ำ เด็กได้พับเรือกระดาษแบบง่ายๆ
และตอบคำถามว่าเรือลำนี้หนักหรือเบา ลอยน้ำหรือจมน้ำเด็กจะอธิบายว่า “ลอยน้ำได้มันเบา” เด็กลองนำเรือกระดาษลอยน้ำ
เด็กได้สังเกตว่า เรือกระดาษลอยน้ำได้ จากนั้นเด็กทดลองใส่ลูกแก้วลงไปในเรือทีละคน
เด็กตอบคำถามว่าถ้าใส่ลูกแก้วทีละลูกเรือจะจมหรือลอยน้ำ
เด็กบางคนบอกจมเพราะใส่ลูกแก้ว
เด็กบางคนบอกลอยได้เพราะเคยเห็นเรือบรรทุกของตั้งเยอะไม่เห็นจม
จากนั้นเด็กๆลองใส่ลูกแก้วเรื่อยๆ เด็กบอกเรือยังลอยอยู่ (เพราะลูกแก้วยังจำนวนน้อย) เมื่อใส่มากเข้าเรือจมต่อหน้าเด็กๆ
ในการจัดกิจกรรมการทดลองดังกล่าว เป็นการจัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กได้ฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง
จากกิจกรรมทำให้เด็กสังเกตขณะที่เรือลอยและเรือจม รู้จักการจำแนกหนัก –เบา
และสื่อสารบอกได้ว่าเรือจมเพราะมีลูกแก้วเยอะ เด็กได้คิดและหาคำตอบในการทดลองโดยเด็กเป็นผู้ปฏิบัติเองจากสื่ออุปกรณ์ที่ครูจัดเตรียมไว้ในแต่ละกิจกรรม
เด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงโดยใช้ประสาทสัมผัสเข้าไปสังเกตสื่อและอุปกรณ์ต่างๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น